ปืนกลหนักและปืนอื่นๆ (Machine Gun & ปืนอื่นๆ)
Ruchnoy Pulemyot Degtyaryova Pekhotnyi 28
ประเภท : Light Machine Gun
ผู้ใช้ : โซเวียต
ประจำการปี : 1928-1960
ผู้ออกแบบ : Vasily Degtyarev
หนัก : 9.12 kg.
ยาว : ลำกล้องยาว1,270/604.5mm.
ขนาดกระสุน : 7.62x54R.
บรรจุ : 49 นัด(47 in practice)
ระบบการทำงาน : Gas-Operated
อัตรายิง : 500-600นัด/นาที
ระยะหวังผล : ~800 m.
ประวัติ
ปืนกลรุ่นนี้ถือเป็นยอดในเรื่องความเรียบง่ายและง่ายต่อการบำรุงรักษาแต่ขาตั้งของมันจะหักได้ง่ายถ้าถืออย่างไม่ระมัดระวังแต่มันก็เป็นปืนที่มีประสิทธิภาพมากในความแม่นยำและมีพลังการยิงสูง
GSH-6-23M
ปืนเวอร์ชั่น : GSH-6-23M ประเทศ : SOVIET ประเภทปืน : GATLING GUN กระสุน : 23 x 115 MM เเรงปะทะกระสุน : 40000-50000 JOULE บรรจุกระสุน : หรือบรรจุกระสุนจากสายพานที่ต่อออกมาจากกระเป๋าสะพายขนาด 2,500 นัด ระบบปฏิบัติการ : GAS OPERATED ระบบการยิง : FULL AUTO อัตราการยิง : 10000 RPM ความเร็วปากกระบอก : 715 เมตร/นาที น้ำหนัก : 73 Kg. ความสามารถพิเศษ : เจาะเกราะ ยิงทะลุรถถังได้
ปืนกระบอกนี้ ปืนใหญ่อากาศ ขนาด 23 มม. GSh-6-23M .......อัตราพ่นกระสุน 10000 นัด / นาที
MG 42
ผู้ผลิต : ประเทศเยอรมัน ความยาวของปืน : 1,220 มม. ลำกล้องยาว : 533 มม. น้ำหนักปืนเปล่า : 11.6 กก. กระสุนขนาด : 7.92x57 Mauser บรรจุ : สายกระสุน สายละ 50 นัด double drum magazineจุ75 ระยะยิงไกล : 2000 ม. อัตราการยิง : 1200-1500 นัด/นาที ระยะหวังผลประมาณ : 1000 เมตร ทำงานโดยระบบ : Short-recoil operated ระบบการ : Semi-automaticและFull-automatic พัฒนาโดยบริษัท : Metall und Lackierwarenfabrik Johannes Grossfuss AG โรงงานที่ผลิต : Grossfuss, Mauser-Werke, Gustloff-Werke
ประวัติ
ปืนกล Machinengewehr MG 42 หรือปืนกลสแปนเดา (Spandau) นี้ เกิดขึ้นจากแนวความคิดของกองทัพเยอรมัน ที่ต้องการปืนกลที่มีประสิทธิภาพสูง มีสายการผลิตที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ผู้ที่รับแนวคิดนี้ไปทำให้เป็นความจริงคือ Dr. Grunow ผู้ซึ่งเป็นนักอุตสาหกรรมที่มีชื่อเสียงของเยอรมัน ในการผลิตแบบสายการผลิตจำนวนมาก ผลที่ได้ก็คือ ปืนกลที่ได้ชื่อว่า เป็นปืนกลที่ดีที่สุดในสงครามโลกครั้งที่สองชนิดหนึ่ง
ปืนกล MG 42 นำเอาปืนกลแบบ MG 34 มาประกอบใหม่ ใช้หลักการเดิม คือการผสมผสานระหว่างแรงสะท้อนของกระสุน และระบบแก๊ส ปืนกล MG 42 ใช้ระบบส่งกระสุนขนาด 7.92 มม. เหมือนปืนกล MG 34 คือใช้ได้ทั้งการใช้สายกระสุนขนาด 50 นัด และกล่องบรรจุกระสุนที่เรียกว่า ดรัม (Drum) ซึ่งดรัมนี้มสองแบบ คือ แบบดรัมเดียว และสองดรัมติดกัน มีอัตราการยิง 1200 นัดต่อนาที ระยะยิงไกลถึง 2,000 ม. หรือ 2 กม.
ปืนกล MG 42 มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในกองทัพเยอรมัน แม้ว่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับการสั่นของตัวปืน ขณะทำการยิง ส่งผลถึงความแม่นยำของการยิงก็ตาม มันถูกใช้อย่างแพร่หลายจนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง และกลายเป็นต้นแบบของปืนกลยุคใหม่อย่างเช่น ปืนกล M 60 ของกองทัพสหรัฐอเมริกา
ส่วนใหญ่มักยิงเป็นชุด ชุดละไม่เกิน 50 นัด มากกว่าใช้ยิงกราด เพราะว่ายิงเร็วมาก ทำให้นอกจากกระสุนจะหมดเร็วแล้วยังทำให้ปืน Overheat ได้ง่าย (ทหารเยอรมันกลัว MG42 ร้อน มากกว่ากระสุนหมด) แต่ก็แก้ได้ด้วยการเปลี่ยนลำกล้องที่ทำได้อย่างรวดเร็ว (ประมาณ 10-15 วิ)
MG34
ผู้ผลิต : ประเทศเยอรมัน ความยาวของปืน : 1,220 มม. ลำกล้องยาว : 628 มม. น้ำหนักปืนเปล่า : 12.1 กก. กระสุนขนาด : 7.92 มม. บรรจุสายกระสุน : สายละ 50 นัด ระยะยิง : ไกล2000 ม.
ประวัติ
ปืนกล Machinengewehr MG 34 นี้ บางคนจัดให้เป็นปืนกลเบา (Light machine gun) แต่บางตำราก็จัดให้เป็นปืนกลหนัก (Heavy machine gun) ปืนกลรุ่นี้ผลิตโดย Louis Stange จากบริษัท Rhinemetall และบริษัท Mauser ของเยอรมันในคราวเดียวกัน ซึ่งการถือกำเนิดปืนกล MG 34 ในปี 1934 นี้ ถือเป็นการก่อกำเนิดของอาวุธปืนกลสมัยใหม่ ในกองทัพเยอรมันเลยทีเดียว
การทำงานของปืนกล MG 34 นี้ ใช้การทำงานผสมผสานระหว่าง การใช้แรงสะท้อนถอยหลังของดินปืน และแก๊ส ในการยิงแต่ละครั้ง นับเป็นการผสมผสาน ที่ไม่ค่อยจะมีใช้กัน ในระบบการยิงของปืนกลในยุคสมัยนั้น และถือเป็นความสำเร็จอันยอดเยี่ยมของการประดิษฐ์ระบบการยิงด้วยวิธีนี้ของ Louis ผู้ผลิตปืนกล MG 34
ปืนกล MG 34 ใช้ระบบส่งกระสุนขนาด 7.92 มม. ได้ทั้งการใช้สายกระสุน และกล่องบรรจุกระสุนที่เรียกว่า ดรัม (Drum) ซึ่งดรัมนี้มีสองแบบ คือ แบบดรัมเดียว และสองดรัมติดกัน มีอัตราการยิง 800-900 นัดต่อนาที ระยะยิงไกลถึง 2,000 ม. หรือ 2 กม.
ปืนกล MG 34 มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในกองทัพเยอรมัน แม้ว่าปืนกลรุ่นใหม่อย่าง MG 42 จะเกิดขึ้นมาในปี 1942 และมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า MG 34 แต่ MG 34 ก็เป็นปืนกลที่ทหารเยอรมันยังคงใช้อยู่ทุกแนวรบ จนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง
USSR M1941
รุ่น : USSR M1941 50mm ชนิด : เครื่องยิงลูกระเบิด ความยาว : 63 cm น้ำหนัก : 9.3 kg ระยะหวังผล : 800 ม. องศาแนวตั้ง : + 40 or + 75 องศา องศาแนวขวาง : 9 or 16 องศา กระสุน : 50mm น้ำหนักกระสุน : 0.85 kg
German leGrw 36
รุ่น : German leGrw 36 ชนิด : เครื่องยิงลูกระเบิด น้ำหนัก : 14 kg ความยาว : 465 mm องศาแนวขวาง : 33องศา องศาแนวตั้ง : 42 องศา to 90 องศา กระสุน : 50 mm ระยะหวังผล : 510 ม.
Bazooka M1A1
ประเภท : Recoilless Rocket Antitank Weapon
ผู้ใช้ : สหรัฐฯ
ผู้ออกแบบ : กองทัพบกสหรัฐ
ประจำการปี : 1942-ปัจจุบัน (ในบางประเทศ)
หนัก : 6.8 kg.ยาว 137 cm.
ขนาดลำกล้อง : 66 mm.
บรรจุ : 1 นัด
ระยะหวังผล : ไกลสุด 365 m. ใกล้สุด 135 m.
ข้อมูลของปืน
เครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถัง Bazooka ของกองทัพสหรัฐฯ แรกเริ่มเดิมทีนาย Henry Mohaupt ได้ประดิษฐ์ระเบิดต่อสู้รถถังแบบใช้ดินโพรงขึ้นมา ซึ่งมีอำนาจการเจาะเกราะได้ลึกถึง 100 มม.หรือประมาณ 4 นิ้ว แต่เนื่องจากมันมีน้ำหนักมากจนนำไปใช้การได้ลำบากก็เลยไม่เป็นที่นิยมมากนัก จนต่อมาพ.อ.Leslie A. Skinner และร.ท.Edward G. Uhl ก็ได้นำระเบิดแบบนี้มาปรับปรุงใช้กับเครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถังที่ประดิษฐ์ขึ้นมา และมีการเรียกคจตถ.รุ่นนี้ว่า Rocket Launcher, M1A1 ซึ่งมีลำกล้องกว้าง 2.36 นิ้วและยาว 54 นิ้ว หัวรบบรรจุดินโพรงหนัก 1.59 กก. ระยะหวังผล 150 หลา ทำการยิงด้วยการประทับบ่า ใช้การจุดชนวนด้วยระบบ Magneto โดยใช้แบตเตอรีขนาด 1.5 V จำนวน 2 ก้อน และก็ได้มีการพัฒนารุ่นต่างๆต่อมาอีกหลายรุ่น มาจนถึงปัจจุบัน
PIAT (Projector Infantry, Anti-Tank)
ประเภท : Recoilless Rocket Antitank Weapon
ผู้ใช้ : อังกฤษ
ประจำการปี : 1942-1950
ผู้ออกแบบ : ICI Ltd., various others
หนัก : 14.4 kg.
ยาว : 990 mm.
ขนาดกระสุน : Infantry Projector, AT, Mk 3/L
บรรจุ : 1 นัด
ระยะหวังผล : 110 m. ไกลสุด 320 m.
ข้อมูล
ปืนต่อสู้รถถังของกองทัพบกอังกฤษไม่เป็นที่นิยมมากนักเนื่องจากมี นน. มากความแม่นยำต่ำระยะหว้งผลไม่ไกลมากนักและมีความยุ่งยากในการยิงทหารจึงนิยมใช้ปืนM1A1 Bazookaมากกว่า
Panzerfaust
อาวุธทุกฝ่ายนาซีใช้ต่อต้านรถถังโดยการยิงลูกระเบิดใส่รถถังหรือยานหุ้มเกราะ มีอำนาจในการทำลายสูงแต่ไม่เหมาะกับการยิงใส่บุคคล และสามารถยิงได้แค่ครั้งเดียว แต่ปืนนี้ก็เป็นต้นแบบให้ปืนต่อสู้รถถังแบบ RPG-2 หรือ RPG-7 ซึ่งเป็นเครื่องยิงจรวดประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้งเช่นเดียวกับจรวด LAW M72 (LAW : Light Anti-tank Weapon) ที่ยังมีใช้ในปัจจุบัน โดย Panzerfaust นั้นมีน้ำหนักหัวรบ (Warhead) 3 กก. โดยในหัวรบจะบรรจุดินโพรง (Shaped Charge) และดินระเบิดแรงสูงไว้ 800 กรัมมีอำนาจทะลุทะลวงแผ่นเหล็กได้ลึกถึง 200 มม. ส่วนท่อยิง (Tube) จะบรรจุดินดำไว้เพื่อใช้ขับดันจรวด มีระยะพิสัยทำการยิงสูงสุด 250 เมตร (Panzerfaust 250)
Panzerchrek
ปืน Raketenpanzerbuchse(Panzerchrek) เมื่อเยอรมันสามารถยึดปืนบาซูก้าจากอเมริกาได้ในศึกที่ตูนีเซีย ในปี 1943 วิศวกรของเยอรมันก็วิเคราะห์และลอกแบบปืนบาซูก้า โดยทันที่ ในไม่ช้าเยอรมันก็มีปืนต่อสู้รถถังก็คือRaketenpanzerbuchse 43 มันมีชื่อเล่นๆว่าPanzerchrekโดยจะยิงจรวดขนาด3.46นิ้ว และมีระยะหวังผลกว่า 160 หลา จากนั้นมันก็เป็นฝันร้ายของเหล่าผู้บังคับรถถังฝ่ายพันธมิตร จนต้องมีการเสริมเกราะเพื่อที่จะรับมือกับมัน
M2 FLAMETHROWER
ปืนเวอร์ชั่น : M2 FLAMETHROWER ประเทศ : USA ปีประจำการในกองทัพ : 1943 กระสุน : 2 (2 gal) Gasoline tanks (fuel) , 1 Nitrogen tank (propellant) น้ำหนัก : 19.5 kg. , 30.8 kg. ระยะหวังผล : 20 เมตร ระยะยิงไกลสุด : 40 เมตร ปืนรุ่นอื่นๆ : M2A1-7
ประวัติ
เป็นปืนพ่นไฟที่บรรจุถังน้ำมันแก็สโซลีน 2 แกลอน กับ ถังไนโตรเจน อีก 1 ซึ่งมีน้ำหนักที่หนักมาก แทบจะต้องเดินยิงเลยล่ะ จะนิยมใช้กับพวกทหารอเมริกันนั้นเองไว้ใช้ปราบปรามข้าศึก และเผาผลาญเป้าหมายให้สิ้นซาก และใช้เผาผลาญพวกต้นไม้ ตามหญ้าต่างๆ รวมไปถึงฟางข้าวได้ด้วยมันมีอุณหภูมิความร้อนในการทำลายเผาผลาญสูงถึง 1000 องศาเซลเซียส เลยทีเดียวซึ่งสามารถเผาข้าศึกจนไหม้เกรียมได้อย่างสบายเลยล่ะด้วยระยะยิงหวังผลถึง 20 เมตร ด้วยสิ ข้าศึกคงจะหนีจากการโดนยิงได้ยากแน่ๆ ถึงจะหลบก็แทบจะหลบยากเลยล่ะ
เคยผ่านการใช้รบในสงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม มาแล้ว
M1919
ปืนเวอร์ชั่น : M1919 ประเทศ : USA ปีประจำการ : 1919–1970 เเม็กกาซีน : 250 นัด , หรือบรรจุกระสุนจากสายพานที่ต่อออกมาจากกระเป๋าสะพายขนาด 2,500 นัด ระบบปฏิบัติการ : Recoil-operated/short-recoil operation ระบบการยิง : FULL AUTO อัตราการยิง : 400–600 RPM น้ำหนัก : 14 kg - 15 kg ระยะหวังผล : 1400 เมตร
กระสุน : .30-06 (7.62x63 mm) แรงปะทะกระสุน : 3800-4500 จุล กระสุน : 7.62x51mm NATO แรงปะทะกระสุน : 3300-4100 จุล กระสุน : .303 British แรงปะทะกระสุน : 3200-3600 จุล กระสุน : 7.92x57mm Mauser แรงปะทะกระสุน : 4000-5000 จุล
ประวัติ
ปืน กลเบา Browning .30 Caliber M1919 ใช้สายกระสุนขนาด .30-06 ในการทำการยิง ใช้ระบบ Recoil-operated ในการทำการยิง โหมดยิงช้ายิงได้ 400/นาที ยิงเร็ว 600/นาที มีญาติคือปืนกลหนัก Browning M2HB หรือปืนกล 93 นั่นละครับ แต่รุ่นนี้ใช้กระสุนขนาด 12.7 มม.หรือ .50 BMG ใช้สายกระสุนในการบรรจุและทำการยิงครับ
M2HB
ปืนเวอร์ชั่น : M2HB ประเทศ : USA ผลิตปี : 1918 ปีประจาการกองทัพ : 1921-1933 ประเภทปืน : HEAVY MACHINE GUN กระสุน : .50 BMG เเรงปะทะกระสุน : 20000 JOULE บรรจุกระสุน : บรรจุกระสุนจากสายพานที่ต่อออกมาจากกระเป๋าสะพายขนาด 2,500 นัด ระบบปฏิบัติการ : SHORT RECOIL OPERATED ระบบการยิง : FULL AUTO
M2HB = อัตราการยิง : 450-600 RPM M2 AIRCRAFT GUN = อัตราการยิง : 750-850 RPM
น้ำหนัก : 38 Kg. - 58 Kg. ความสามารถพิเศษ : เจาะเกราะ ยิงทะลุรถถังได้ ฟังก์ชั่น : ติดตั้งกับยานพาหนะต่างๆ เฮลิคอปเตอร์ เครื่องบินเจท รถยนต์ทหาร ป้อมทหาร ปืนรุ่นอื่นๆ : M2 AIRCRAFT GUN , M1921 , M2 , M3 , M2B , M2B-QCB , M2 E-50
ประวัติ
ปืน กลหนัก Browning M2HB หรือปืนกล 93 ใช้กระสุนขนาด 12.7 มม.หรือ .50 BMG นิยมใช้ติดตั้งบนรถถังหรือรถจี๊ป เนื่องจากเป็นปืนกลอเนกประสงค์สามารถใช้ยิงต่อสู้อากาศยานหรือทำลายล้างข้า ศึกบนภาคพื้นดินได้สบายมาก เข้าประจำการตั้งแต่ปีพ.ศ. 2493
ป.ล. ปืนกล 93 ในภาพเป็นแบบลำกล้องคู่ เวลายิงจะมีเสียงที่ดังมากแถมความแม่นยำก็ต่ำมาก เอาไว้ยิงสาดกระสุนอย่างเดียว
Browning M2HB ปืนกลหนัก ใช้กระสุนขนาด .50 BMG หรือ 12.7 มม. ปืนนี่อเมริกาเอาไว้ถล่มรถถัง หรือสอยเครื่องบิน
Bren LMG
ประเภท : Light machine gun
ผู้ใช้ : อังกฤษ
ประจำการปี : 1938-1958
หนัก : 10.35kg.
ยาว : ลำกล้องยาว1,156/653mm.
ขนาดกระสุน : .303 cal
บรรจุ -30 นัด Detachable Box Magazine
-100 นัด Pan Magazine
ระบบการทำงาน : Gas-operated
อัตรายิง : 500-520นัด/นาที
ระยะหวังผล : 550 m.
ประวัติ
ปืนกลสนับสนุนชั้นยอดของกองทัพบกอังกฤษถึงแม้ว่ามันจะมีขนาดใหญ่โตทำให้ความคล่องตัวน้อยลงแต่ในการนอนยิงมันจะมีความแม่นยำสูงมาก
M-2 Browning machine gun
ประเภท : Machine Gun (MG)
ผู้ใช้ : สหรัฐฯ
ปีประจำการ : 1932-ปัจจุบัน
หนัก : 38kg.
ยาว/ลำกล้องยาว : 1,650/1,140mm.
ขนาดกระสุน : .50BMG
ระบบการทำงาน : Recoil Operation
อัตรายิง : 550 นัด/นาที
ระยะหวังผล : 1,800 m.
ฝ่าย : อังกฤษ
ข้อมูลปืนกลชนิดนี้ถูกคิดขึ้นเพื่อมาแทนปืนกลแบบ Vickersในช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งท1ปืนกลชนิดนี้จะติดอยู่กับยานพาหนะซะเป็นส่วนมากเนื่องจากมี นน. มากในการขนย้ายจึงทำได้ลำบากแต่มีพลังการทำลายสูงมากกลับสู่หน้าหลัก
|